รัฐ ชาติ ประเทศ รัฐเดี่ยว รัฐรวม สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ
คำว่า รัฐ ชาติ และประเทศ (state, nation and country) เรามักจะใช้สลับสับเปลี่ยนปะปนกันไปมาอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่คำว่ารัฐ ชาติ และประเทศ มีความหมายทางรัฐศาสตร์ที่แตกต่างกัน1.รัฐ (state) ต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 4 ประการ คือ
- ประชากร (Population)กลุ่มคนหรือประชาชนที่อาศัยอยู่ร่วมกันในรัฐนั้นๆ
- ดินแดน หรือ อาณาเขต (Territory)พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่มีขอบเขตแน่นอน ซึ่งประกอบด้วยดินแดน น่านน้ำ และน่านฟ้า
- รัฐบาล(Government)สถาบันหรือองค์กรที่ทำหน้าที่บริหาร จัดการ และใช้อำนาจปกครองภายในรัฐนั้นๆ
- และอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) อำนาจสูงสุดในการปกครองตนเองทั้งภายในและภายนอก ไม่ขึ้นกับอำนาจอื่นจากภายนอก และมีอำนาจในการออกกฎหมายและใช้อำนาจบังคับ
การที่จะพิจารณาว่าเป็นรัฐหรือไม่ จำนวนประชากรหรือขนาดพื้นที่มิใช่สิ่งสำคัญ นครรัฐวาติกัน มีเนื้อที่เพียง 0.4 ตารางกิโลเมตร ประชากรพันกว่าคนก็มีสภาพเป็นรัฐ สหภาพโซเวียตเคยเป็นรัฐใหญ่ที่สุดมีดินแดน 22 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ สหรัฐอเมริกามีพื้นที่ประมาณ 9.5 ล้านตารางกิโลเมตร ก็เป็นรัฐเช่นเดียวกันกับนครรัฐวาติกัน หรือ รัฐติมอร์ตะวันออก หรือแม้กระทั่งสิงคโปร์ที่เป็นเกาะเล็กนิดเดียว
เราสามารถแบ่งลักษณะของรูปแบบของรัฐได้เป็น 2 อย่างคือ รัฐเดี่ยวกับรัฐรวม
1.1 รัฐเดี่ยว (Unitary state)
มีรัฐบาลเพียงระดับเดียวในการใช้อำนาจอธิปไตย เช่น ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฯลฯ1.2 รัฐรวม (Compound หรือ Composite state)
มีรัฐบาล 2 ระดับ คือรัฐบาลท้องถิ่นหรืออาจเรียกว่ารัฐบาลมลรัฐกับรัฐบาลกลาง ซึ่งรัฐบาลในทั้ง 2 ระดับมีอำนาจโดยเฉพาะตน โดยรัฐธรรมนูญในประเทศนั้นๆจะกำหนดไว้ว่ารัฐบาลในทั้ง 2 ระดับมีอำนาจในการใช้อธิปไตยครอบคลุมกิจการอะไรบ้าง โดยรัฐรวมแบ่งเป็นสมาพันธรัฐ (Confederation) และสหพันธรัฐ (Federation)1.2.1 สมาพันธรัฐ (Confederation)
สมาพันธรัฐเกิดขึ้นโดยความร่วมมือของรัฐต่างๆ ตามสนธิสัญญา โดยรัฐสมาชิกต้องมีความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ จึงจะเกิดการดำเนินกิจกรรมของสมาพันธ์ได้ และมีสภาผู้แทนรัฐบาลของรัฐสมาชิกเป็นองค์กรทำหน้าที่ต่างๆ ในนามของรัฐสมาชิก โดยที่รัฐสมาชิกยังคงมีอิสระในการดำเนินนโยบายต่างๆ สภาผู้แทนของรัฐสมาชิกไม่ได้มีอำนาจในการควบคุมการกระทำภายในรัฐสมาชิก นอกจากนี้ แต่ละรัฐมักจะมีความร่วมมือกันในบางเรื่องเท่านั้น เช่น ด้านความมั่นคง หรือนโยบายเศรษฐกิจ เป็นต้น สมาพันธรัฐ ได้แก่ สมาพันธรัฐอเมริกาในช่วงแรกของการประกาศอิสรภาพปี 1776 แต่พอร่างรัฐธรรมนูญเสร็จปี 1787 ก็กลายมาเป็นสหพันธรัฐ ,สมาพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์ ก่อนปี 1846(ปัจจุบันยังใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าสมาพันธรัฐสวิสอยู่แม้ว่ารูปแบบจะเป็นสหพันธรัฐก็ตาม) หรือ สมาพันธรัฐเยอรมันช่วงปี 1815 - 1866 ส่วนในปัจจุบันสหภาพยุโรปก็มีลักษณะของสมาพันธรัฐ1.2.2 สหพันธรัฐ (Federation)
สหพันธรัฐเป็นการรวมตัวของรัฐต่างๆ โดยรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างรัฐขึ้นมาใหม่ให้มีอำนาจอธิปไตยอยู่เหนือรัฐเดิมที่มารวมตัวกันนั้น โดยที่รัฐต่างๆ ที่รวมตัวกันจะสละอำนาจอธิปไตยของตนให้แก่รัฐที่สร้างขึ้นใหม่นี้ เพื่อทำหน้าที่แทนตน ตัวอย่างของระบบรัฐแบบนี้ ได้แก่ สหรัฐอเมริกานับจากปี 1787 เป็นต้นมาตราบจนปัจจุบัน ระบบสหพันธรัฐทำให้เกิดมีรัฐ 2 ระดับขึ้นภายในโครงสร้างภายในของรัฐรวมนั้นเสมอ ได้แก่ รัฐระดับบน คือ รัฐที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งมักจะเรียกกันว่ารัฐบาลกลางหรือรัฐสหพันธ์ และรัฐระดับล่างได้แก่รัฐสมาชิกต่างๆ นั่นเอง ซึ่งมักจะเรียกกันว่ามลรัฐหรือรัฐ องค์กรต่างๆ ภายใต้ระบบสหพันธรัฐจะมีโครงสร้างที่ซับซ้อน รวมทั้งการมีองค์กรที่มีชื่อเรียกเดียวกัน และมีการหน้าที่ในลักษณะเดียวกัน แบ่งออกเป็น 2 ระดับเสมอ เช่น รัฐสภา จะมีทั้งรัฐสภาในระดับสหพันธ์ และรัฐสภาในระดับรัฐ เช่นเดียวกับรัฐบาล และศาล เป็นต้น ซึ่งจะมีศาลสูงทั้งของรัฐ และศาลสูงของสหพันธรัฐดำรงอยู่คู่ขนานกัน นอกจากนั้นเรายังสามารถแบ่งรูปแบบของรัฐตามลักษณะประมุขของรัฐได้เป็นรูปแบบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งเราเรียกว่า “ราชอาณาจักร (Kingdom)” เช่น ราชอาณาจักรไทย ราชอาณาจักรกัมพูชา ฯลฯ กับรูปแบบ “สาธารณรัฐ (Republic)” ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฯลฯ หลายคนเข้าใจผิดว่ารัฐรวมจะมีกษัตริย์เป็นประมุขไม่ได้ ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะมาเลเซียในระยะเริ่มแรกก็ใช้ชื่อว่าสหพันธรัฐมาเลเซียโดยมีพระราชาธิบดีหรือกษัตริย์ซึ่งหมุนเวียนกันเป็นประมุขมาจนปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับออสเตรเลียกับแคนาดาก็ยังมีกษัตริย์ของสหราชอาณาจักรเป็นประมุขอยู่ แม้ว่าจะไม่มีบทบาทใดๆแล้วก็ตาม2.ชาติ (Nation)
นั้นจะเน้นไปที่ความผูกพันกันในทางเชื้อชาติ (race) หรือสายเลือด เผ่าพันธุ์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา หรือการยึดหลักประเพณีร่วมกัน ด้วยเหตุนี้ชาติจึงไม่สูญสลายไปง่ายๆ ดังเช่นความเป็นรัฐ ตัวอย่างใกล้ตัวก็คือแม้ว่าจะไม่มีรัฐมอญปรากฏบนแผนที่โลก แต่ในความเป็นจริง "ชาติมอญ" ยังคงอยู่ทั้งในพม่า หรือแม้กระทั่งในประเทศไทย คำว่าชาตินี้เองมักจะเป็นต้นเหตุของปัญหา เพราะแต่ละชาติก็อยากเป็นใหญ่ แต่ละชาติก็อยากสร้างรัฐ ทำให้เกิดลัทธิชาตินิยม และในหลายๆ ครั้งนำไปสู่สงครามกลางเมือง3.ประเทศ (Country)
ส่วนคำว่าประเทศนั้น มีความหมายเน้นหนักไปในด้านดินแดน ดังนั้นประเทศจึงเป็นแหล่งรวมของชาติ และก่อให้เกิดรัฐขึ้น ตัวอย่างความแตกต่างระหว่างรัฐกับประเทศที่เห็นชัดก็คือไต้หวัน ซึ่งเมื่อดูองค์ประกอบต่างๆ แล้วไต้หวันมีประชากร ดินแดน รัฐบาลและอำนาจอธิปไตยภายใน แต่ขาดอำนาจอธิปไตยภายนอกซึ่งก็คือ การรับรองจากรัฐอื่นและสหประชาชาติ ฉะนั้น ในทางรัฐศาสตร์แล้วไต้หวันจึงอยู่สถานะที่มิใช่เป็นรัฐแต่มีสภาพเป็นประเทศ แม้ว่าจีนจะถือว่าไต้หวันเป็นเพียงมณฑลหนึ่งของจีนเท่านั้นก็ตาม การที่ประเทศใดจะเป็นรัฐเดี่ยวหรือรัฐรวมขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศนั้นๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือเจตนารมณ์หรือฉันทามติของประชาชนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าต้องการให้ประเทศของตนเป็นรัฐแบบไหน แน่นอนว่ารัฐธรรมนูญก็คือกฎหมาย และกฎหมายคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เมื่อมนุษย์สร้างขึ้นมนุษย์ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอน่ะครับ สมาพันธ์ รัฐหลายรัฐรวมกัน โดยให้มีรัฐบาลกลาง และให้มีอำนาจหน้าที่เฉพาะกิจการบางอย่างที่รัฐสมาชิกยินยอมมอบหมายให้เท่านั้น แต่รัฐหนึ่งๆ ยังตั้งทูตประจำชาติอื่นได้สำหรับกิจเฉพาะของตน สมาพันธรัฐ (อังกฤษ: confederation) เป็นศัพท์การเมืองสมัยใหม่ หมายถึง การรวมกันของหน่วยการเมืองเป็นการถาวรเพื่อให้มีการเคลื่อนไหวร่วมกันตามหน่วยอื่น[1] สมาพันธรัฐตามปกติก่อตั้งขึ้นโดยสนธิสัญญา แต่ภายหลังมักก่อตั้งขึ้นจากการเห็นชอบรัฐธรรมนูญร่วมกัน สมาพันธรัฐมีแนวโน้มสถาปนาขึ้นเพื่อจัดการกับปัญหาร้ายแรง เช่น การป้องกัน การระหว่างประเทศหรือสกุลเงินร่วม โดยมีรัฐบาลกลางที่ถูกกำหนดให้จัดหาการสนับสนุนแก่สมาชิกทั้งหมด ธรรมชาติความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งประกอบขึ้นเป็นสมาพันธรัฐนั้นแตกต่างกันมาก เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสมาชิก รัฐบาลกลางและการกระจายอำนาจให้รัฐต่าง ๆ ก็มีแตกต่างกันเช่นกัน สมาพันธรัฐอย่างหลวมบางแห่งคล้ายคลึงกับองค์การระหว่างรัฐบาล ขณะที่สมาพันธรัฐอย่างเข้มอาจเหมือนสหพันธรัฐ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็น (ห้ามโฆษณาสินค้ารวมไปถึงการใส่ลิงก์ใดใด)