You can search information about Tai people here ท่านสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ ชนชาติไตได้ในบล๊อกนี้

Read More

Distribution of Tai people

การกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ไทซึ่งเป็นกลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได
Read More

Möng Kawng(Mogaung), Möng Mao Lông, Mong Tai(Federated Shan States (1922–1959))

เมืองก๋อง (พม่าเรียก "โมกอง",เมืองมาวหลวง, เมืองไต หรือสหพันธรัฐฉาน
Read More

Möng Mao Lông(Mao Kingdom), The Confederation of Shan States

เมืองมาวหลวง,สมาพันธ์รัฐฉาน(สมาพันธ์รัฐฉานในศตวรรษที่ 16 ซึ่งพิชิตอาณาจักรอังวะในปี ค.ศ. 1527 และปกครองพม่าตอนบนจนถึงปี ค.ศ. 1555 )
Read More

Möng Mao Lông(Mao Kingdom)

อาณาจักรเมืองมาวหลวง, เจ้าหลวงเสือข่านฟ้าทรงเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทใหญ่เพราะทรงรวบรวมรัฐไทใหญ่ต่างๆที่เป็นอิสระต่อกันให้มาเป็นอาณาจักรเดียวกันภายใต้ชื่ออาณาจักรเมืองมาวหลวง
Read More

Möng Kawng(Mogaung)

เป็นรัฐของชาวไทใหญ่ที่มีกษัตริย์ (เจ้าฟ้าเจ้าแผนดิน) ปกครอง, เป็นเมืองหลวงและรัฐอิสระของชนชาติไทใหญ่ ซึ่งมีอำนาจปกครองตนเองมานานหลายศตวรรษ ตั้งอยู่ในปัจจุบันคือประเทศเมียนมาร์

18 กันยายน, 2568

ถิ่นกำเนิดชนชาติไต หรือไท The Cradle of the Tai Race

ข้อมูลเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดคนไต หรือคนไทนั้น ส่วนมาก มาจากชาวตะวันตก ซึ่งเป็นผู้สำรวจค้นคว้าด้วยตนเอง เช่นเดินทางไปสำรวจ สอบสวนค้นคว้าด้านภาษา การแต่งกาย ความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ แล้วนำข้อมูลที่ได้จากประจักษ์พยานไปประมวลเป็นงานเขียน (Paper)หรือ ราย งานการสำรวจ (report) หรือบางวิธีก็สืบค้นนำข้อมูลที่ได้จากประจักษ์พยานไปประมวลเป็นงานค้นคว้าของชาวต่าง ประเทศที่เรียบเรียงไว้นั้นเป็นที่อ้างอิง ดังนั้นวิธีการดังกล่าวรวมทั้งการศึกษาค้นคว้าของคนไทยได้ก่อให้เกิดความหลากหลายในทัศนะเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของคนไตหรือคนไท ดังนี้
1.กลุ่มที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดคนไต หรือไท อยู่ในบริเวณมณฑลเสฉวน ประเทศจีน
เตเรียน เดอ ลาคูเปอรี (Albert Étienne Jean Baptiste Terrien De Lacouperie) ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ ประจำมหาวิทยาลัยลอนดอน ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาศาสตร์ของอินโดจีน เป็นเจ้าของความคิดนี้ ผลงานของท่านชื่อ The Cradle of the Shan Race (ถิ่นกำเนิดชนชาติไต หรือ ซาน) ตีพิมพ์ พ.ศ.2428 อาศัยหลักฐานจีนโดยพิจารณาความคล้ายคลึงกันทางภาษาของผู้คนในจีนและเอเชียตะ วันออกเฉียงใต้ แล้วสรุปว่า คนเชื้อชาติไตตั้งถิ่นฐานในดินแดนจีนก่อนจีน คือเมื่อ 2208 ปีก่อนคริสตกาล ดังปรากฏในรายงานการสำรวจภูมิประเทศจีน ถิ่นที่อยู่ของคนไทยที่ปรากฏในจดหมายเหตุจีนนี้อยู่ในเขตมณฑลเสฉวนในปัจุบัน
งานของลาคูเปอรี ได้รับการสืบทอดต่อมาในงานเขียนของนักวิชาการไทย เช่น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประภาศิริ เสฐียรโกเศศ พระยาอนุมานราชธน หลวงวิจิตรวาทการ และศาสตราจารย์รอง ศยามานนท์
2. กลุ่มที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดคนไตอยู่แถบเทือกเขาอัลไต ทางตอนเหนือของประเทศจีน
เจ้าของความคิด คือ ผู้เผยแพร่ศาสนาชาวอเมริกัน ชื่อ วิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ (Dr. William Clifton Dodd) ได้เดินทางไปสำรวจความเป็นอยู่ของชนชาติต่าง ๆ ในดินแดนใกล้เคียงพร้อมทั้งเผยแพร่ศาสนาด้วย ท่านเป็นนักวิชาการตะวันตกคนแรกคนหนึ่งที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของชนชาติไต (one of the first ethnologists of the Tai race) และสะสมข้อมูลเกี่ยวกับ ด้านภาษา การแต่งกาย ความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆของชนชาติไต โดยเริ่มจากที่ประเทศไทย จังหวัดเชียงราย เชียงตุง สิบสองปันนา ยูนนาน จนถึง ฝั่งทะเลกวางตุ้ง ผลจากการสำรวจปรากฏในงานเขียนเรื่อง The Tai Race : The Elder Brother of the Chinese (ชนชาติไตเป็นชนชาติที่เก่าแก่กว่าจีน) ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ.2452 งานเขียนนี้สรุปว่าไต หรือ ไท สืบเชื้อสายจากมองโกล (Mongoloid race) และเป็นชาติเก่าแก่กว่าจีนและฮิบรู งานเขียนของ วิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ ได้รับความสนใจทั้ง ชาวไทยและต่างประเทศ นักวิชาการไทยคนสำคัญที่สืบทอดความคิดของหมอดอดด์ คือ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) ได้เขียนงานเขียนชื่อ “หลักไทย” เป็นหนังสือแต่งทางประวัติศาสตร์ ได้รับพระราชทานรางวัลของพระบาทสมเด็กพระปกเกล้าฯ กับประกาศนียบัตรวรรณคดีของราชบัณฑิตยสภา ใน พ.ศ.2471 ในหนังสือ หลักไทย สรุปว่าแหล่งกำเนิดของคนไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต (แหล่งกำเนิดของมองโกลด้วย) หลักสูตรไทยได้ใช้เป็นตำราเรียนประวัติศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการเป็นเวลานาน แต่ปัจจุบัน แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับน้อยมาก
3.กลุ่มที่เชื่อว่าไทมีถิ่นกำเนิดกระจัด กระจายทั่วไปในบริเวณตอนใต้ของจีนและทางเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้ ตลอดจนแคว้นอัสสัมของอินเดีย
นักสำรวจชาวอังกฤษ ชื่อ โคลกูฮุน (Archibal R. Colguhon) เป็นผู้ริเริ่มความเชื่อนี้ เขาได้เดินทางจากกวางตุ้งตลอดถึงมัณฑเลย์ในพม่าและได้เขียนหนังสือชื่อ Chrysi เล่าเรื่องการเดินทางสำรวจดินแดนดังกล่าว และเขียนรายงานไว้ว่าพบคนไทในแถบนี้ งานเขียนนี้ตีพิมพ์ในอังกฤษเมื่อ พ.ศ.2428 ผู้เขียนได้รับรางวัลเหรียญทองจากสมาคมภูมิศาสตร์ของอังกฤษ ต่อมาหนังสือเล่มนี้ได้แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสและเยอรมัน ทำให้แนวคิดนี้แพร่หลายออกไป
นอกจากนี้มีงานค้นคว้าประเภทอาศัยการตีความหลักฐานจีนอีก เช่น งานของ E.H. Parker ปาร์คเกอร์ กงสุลอังกฤษประจำเกาะไหหลำ เขียนบทความเรื่องน่านเจ้า พิมพ์เผยแพร่เมื่อ พ.ศ.2437 โดยอาศัยตำนานจีน บทความนี้พูดถึงอาณาจักรน่านเจ้าเป็นอาณาจักรของคนไทยเฉพาะราชวงศ์สินุโลและ คนไทยเหล่านี้ถูกคนจีนกดดันถึงอพยพลงมาทางใต้ งานของเขียนปาร์คเกอร์ได้รับการสนับสนุนจากทั้งนักวิชาการตะวันตกและจีน (ศาสตราจารย์ติง ศาสตราจารย์ โชนิน ศาสตราจารย์ชุนแชง) และญี่ปุ่น (โยชิโร ชิราโทริ)
งานค้นคว้าที่เดิ่นอีกคืองานของ วิลเลียม เคร์ดเนอร์ (Willian Credner) ซึ่งค้นคว้าเกี่ยวกับยูนนานโดยสำรวจภูมิประเทศและเผ่าพันธุ์ที่ตกค้างในยูนนาน สรุปว่าถิ่นเดิมของชนเผ่าไทควรอาศัยในที่ต่ำใกล้ทะเล เช่น มณฑลกวางสี กวางตุ้ง ส่วนแถบอัลไตคนไทไม่น่าจะอยู่เพราะคนไทชอบปลูกข้าว ชอบดินแดนแถบร้อนไม่ชอบเนินเขา
นอกจากนี้ วูลแกรม อีเบอร์ฮาด (Wolgram E berhard) ชาวเยอรมันผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยา มานุษยวิทยา และโบราณคดีจีน ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของไทยในงานเขียนชื่อ A History of China (พิมพ์เป็นภาษาเยอรมัน ต่อมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ) สรุปว่าเผ่าไทอยู่บริเวณมณฑลกวางตุ้ง ต่อมาอพยพมาอยู่แถบยูนนานและดินแดนในอ่าวตังเกี๋ย (สมัยราชวงศ์ฮั่น) ได้สร้างอาณาจักรเทียนหรือแถน และถึงสมัยราชวงศ์ถัง เผ่าไทได้สถาปนาอาณาจักรน่านเจ้าขึ้นที่ยูนนาน
งานเขียนของบุคคลเหล่านี้ได้ให้แนวคิดแก่นักวิชาการไทยและต่างประเทศในระยะต่อมา เช่น ยอร์ช เซเดส์ ชาวฝรั่งเศส ได้สรุปว่าชนชาติไต หรือไทอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของจีน แถบตังเกี๋ย ลาว สยาม ถึงพม่า และอัสสัม
ส่วนนักวิชาการไทยที่สนใจศึกษาค้นคว้าความเป็นมาของคนไททั้งจากเอกสารไทยและต่างประเทศคือพระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) งานเขียนของท่าน คือ พงศารโยนก ตีพิมพ์ระหว่างปี พ.ศ.2441-2442 งานชิ้นนี้สรุปว่าคนไทมาจากตอนใต้ของจีนและ นักวิชาการไทยอีกท่านหนึ่งคือ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้ใช้วิธีการทางนิรุกติศาสตร์ วิเคราะห์ตำนาน พงศาวดารท้องถิ่นทางเหนือของไทยและตรวจสอบกับจารึกของประเทศข้างเคียง เขียนหนังสือ ชื่อ “ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และจาม และลักษณะสังคมของชื่อชนชาติ” พิมพ์เผยแพร่ พ.ศ.2519 จิตรสรุปว่าที่อยู่ของคนเผ่าไท อาศัยอยู่กระจัดกระจายในบริเวณทางตอนใต้ของจีนและบริเวณภาคเหนือของไทย ลาว เขมร พม่า และรัฐอัสสัมในอินเดีย และให้ความเห็นเกี่ยวกับน่านเจ้าว่า น่านเจ้าเป็นรัฐทางใต้สุด เดิมจีนเรียกอาษาจักรไต - หลอหลอ (น่านเจ้า แปลว่า เจ้าทางทิศใต้)
จะเห็นได้ว่าในบรรดานักวิชาการที่เชื่อว่าอดีตของเผ่าไทอยู่กระจัดกระจายใน บริเวณตอนใต้ของจีนและบริเวณทางเหนือของไทย ลาว พม่า เวียดนาม กัมพูชา และรัฐอัสสัม และอินเดีย ต่างก็มีทัศนะที่ต่างกันในรายละเอียด โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับอาณาจักรน่านเจ้าและนักวิชาการกลุ่มนี้เริ่มศึกษาค้น คว้าเรื่องราวของคนไทยโดยอาศัยหลักฐานหลายด้าน ทั้งด้านนิรุกติศาสตร์ มานุษยวิทยา หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี
4. กลุ่มที่เชื่อว่าถิ่นเดิมของไทอยู่บริเวณประเทศไทยปัจจุบัน
พอล เบเนดิคท์ (Paul Benedict) นักภาษาศาสตร์และมนุษยวิทยาชาวอเมริกัน ค้นคว้าเรื่องเผ่าไทโดยอาศัยหลักฐานทางภาษาศาสตร์และสรุปว่า ถิ่นเดิมของไทน่าจะอยู่ในดินแดนประเทศไทย ตั้งแต่เมื่อประมาณ 4000-3500 ปีมาแล้ว พวกตระกูลมอญ เขมร อพยพมาจากอินเดียเข้าสู่แหลมอินโดจีนได้ผลักดันคนไทให้กระจัดกระจายไปหลายทางขึ้นไปถึงทางใต้ของจีนปัจจุบัน ต่อมาถูกจีนผลักดันจนอพยพลงใต้ไปอยู่ในเขตอัสสัม ฉาน ลาว ไทย และตังเกี๋ย จึงมีกลุ่มชนที่พูดภาษาไทกระจัดกระจายไปทั่ว
นักวิชาการไทย นายแพทย์สุด แสงวิเชียร และศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี ให้ความเห็นว่าดินแดนไทยปัจจุบันเป็นที่อาศัยของหมู่ชนที่เป็นบรรพบุรุษของไ ทยปัจจุบัน มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์และสรุปว่าบรรพบุรุษไทยอยู่ในดินแดนประเทศไท ยมาตลอด เนื่องจากหลักฐานทางโบราณคดีได้แสดงถึงความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมรวมทั้งการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะโครงกระดูกที่ขุดพบ
5. กลุ่มที่เชื่อว่า ถิ่นเดิมของไทอาจอยู่ทางบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
หรืออินโดจีน หรือบริเวณคาบสมุทรมลายู และค่อย ๆ กระจายไปทางตะวันตก และทางใต้ของอินโดจีนและทางใต้ของจีน
กลุ่มนี้ศึกษาประวัติความเป็นมาของชนชาติไทยด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์บนรากฐาน ของวิชาพันธุศาสตร์ คือการศึกษาความถี่ของยีนและหมู่เลือดและการศึกษาเรื่องฮีโมโกลบินอี เช่น นายแพทย์สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ ได้ศึกษาความถี่ของยีนและหมู่เลือด พบว่าหมู่เลือดของคนไทยคล้ายกับชาวชวาทางใต้มากกว่าจีนทางเหนือ จากการศึกษาวิธีนี้สรุปได้ว่า คนไทมิได้สืบเชื้อสายจากคนจีน
ส่วนการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฮีโมโกลบินอีนั้น นายแพทย์ประเวศ วะสี และกลุ่มนักวิจัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น สรุปว่า ฮีโมโกลบินอี พบมากในผู้คนในแถบเอเชียอาคเนย์ คือ ไทย ลาว พม่า มอญ และอื่น ๆ สำหรับประเทศไทยผู้คนทางภาคอีสานมีฮีโมโกลบินอีมากที่สุด (คนจีนเกือบไม่มีเลย)
สรุป ปัจจุบันความก้าวหน้าทางวงการศึกษามีมากขึ้นและมีการแตกแขนงวิชาออกไปมากมาย เพื่อหาคำตอบเรื่องของมนุษย์และสังคมที่มนุษย์อยู่ ทำให้ความรู้และความเชื่อเดิมของมนุษย์ถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง ด้วยเหตุนี้ความเชื่อในเรื่องถิ่นกำเนิดของคนไทซึ่งอยู่ที่มณฑลเสฉวนและทาง ภูเขาอัลไตจึงถูกวิพากษ์ถึงความสมเหตุสมผล และเมื่อมีการประสานกันค้นคว้าจากสหวิชาการจึงได้คำตอบในแนวใหม่ว่าคนเผ่าไท เป็นเผ่าที่อยู่กระจัดกระจายในแนวกว้างในบริเวณตอนใต้ของยูนนาน ทางตอนเหนือของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรัฐอัสสัมของอินเดีย พื้นฐานความเชื่อใหม่นี้อาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และหลักฐานทางโบราณคดี ทำให้ทราบได้ว่า คนเผ่านี้รู้จักกันในชื่อต่าง ๆ ในแต่ละท้องถิ่น เช่น ไทใหญ่ ไทอาหม ผู้ไท ไทดำ ไทขาว ไทลื้อ ไทลาว ไทยวน เป็นต้น การค้นคว้าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดียังสอดคล้องกับการค้นคว้าทางด้านนิรุกติศาสตร์และภาษาศาสตร์ที่พบว่า คนในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่เรียกชนชาติไทว่า ชาม ชาน เซม เซียม ซียาม เสียมบ้าง และในภาษาจีนเรียกว่า ส่าน ส้าน (สำหรับคนไทโดยทั่วไป) และเซียม (สำหรับไทสยาม) และความหมายของคำที่เรียกคนไทก็มีความหมายสอดคล้องกับลักษณะชีวิตทางด้านสัง คมและการทำมาหากินของคนไทยเช่นคำว่า “ส่าน” ซึ่งเป็นคำภาษาจีนเรียกคนไท แปลว่า “ลุ่มแม่น้ำ” ความหมายนี้มีลักษณะสอดคล้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของชนชาติไทที่ก่อตั้งชุมชนขึ้นในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำและทำอาชีพกสิกรรม รู้จักทำทำนบหยาบ ๆ พร้อมทั้งคันคูระบายน้ำคือ เหมือง ฝาย รู้จักใช้แรงงานสัตว์และใช้เครื่องมือในการทำนา เช่น จอบ คราด ไถ
**ปัจจุบันการศึกษาค้นคว้าเรื่องถิ่นเดิมของชนชาติไท และคนไทยในประเทศไทยปัจจุบัน คือการหันมาให้ความสนใจทางด้านวัฒนธรรมมากกว่าเรื่องเชื้อชาติ เพราะไม่มีเชื้อชาติใดในโลกนี้ที่เป็นเชื้อชาติบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่เหนือชน เชื้อชาติอื่น ดินแดนประเทศไทยเป็นทางผ่านที่คนหลายเผ่าพันธุ์ หลายตระกูลเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งรกราก ประเทศไทยเป็นแหล่งสะสมของคนหลายหมู่เหล่าก่อนที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นรัฐประชา ชาติที่เรียกว่าประเทศไทย ดังนั้นการเป็นคนไทจึงควรมองที่วัฒนธรรมไทยมากกว่าเรื่องเชื้อชาติ
Read More

ความหมายของ รัฐ ชาติ ประเทศ รัฐเดี่ยว รัฐรวม สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ Types of Government Power Structures

รัฐ ชาติ ประเทศ รัฐเดี่ยว รัฐรวม สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ

คำว่า รัฐ ชาติ และประเทศ (state, nation and country) เรามักจะใช้สลับสับเปลี่ยนปะปนกันไปมาอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่คำว่ารัฐ ชาติ และประเทศ มีความหมายทางรัฐศาสตร์ที่แตกต่างกัน 
1.รัฐ (state) ต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 4 ประการ คือ 
  1. ประชากร (Population)
    : 
    กลุ่มคนหรือประชาชนที่อาศัยอยู่ร่วมกันในรัฐนั้นๆ 
  2. ดินแดน หรือ อาณาเขต (Territory)
    : 
    พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่มีขอบเขตแน่นอน ซึ่งประกอบด้วยดินแดน น่านน้ำ และน่านฟ้า 
  3. รัฐบาล(Government)
    : 
    สถาบันหรือองค์กรที่ทำหน้าที่บริหาร จัดการ และใช้อำนาจปกครองภายในรัฐนั้นๆ 
  4. และอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) 
    : 
    อำนาจสูงสุดในการปกครองตนเองทั้งภายในและภายนอก ไม่ขึ้นกับอำนาจอื่นจากภายนอก และมีอำนาจในการออกกฎหมายและใช้อำนาจบังคับ 
ในทางวิชาการความหมายของรัฐนั้นจะเน้นไปที่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางการเมือง หมายความว่า ประชาชนอยู่ภายใต้ระบบการเมืองและอธิปไตยเดียวกัน รวมทั้งการมีเอกราชเต็มที่ รัฐจะมีสถานะของตนเองในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะการที่จะเป็นรัฐๆ หนึ่งขึ้นมาได้จะต้องได้รับการยอมรับจากรัฐอื่นๆ ด้วย ฉะนั้น รัฐจึงสูญสลายหรือเกิดใหม่ได้ไม่ยากนัก เช่น สิงคโปร์ หรืออิสราเอล แม้กระทั่งติมอร์ตะวันออกก็เพิ่งก่อตั้งเป็นรัฐมาเมื่อไปไม่นานมานี้เอง
การที่จะพิจารณาว่าเป็นรัฐหรือไม่ จำนวนประชากรหรือขนาดพื้นที่มิใช่สิ่งสำคัญ นครรัฐวาติกัน มีเนื้อที่เพียง 0.4 ตารางกิโลเมตร ประชากรพันกว่าคนก็มีสภาพเป็นรัฐ สหภาพโซเวียตเคยเป็นรัฐใหญ่ที่สุดมีดินแดน 22 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ สหรัฐอเมริกามีพื้นที่ประมาณ 9.5 ล้านตารางกิโลเมตร ก็เป็นรัฐเช่นเดียวกันกับนครรัฐวาติกัน หรือ รัฐติมอร์ตะวันออก หรือแม้กระทั่งสิงคโปร์ที่เป็นเกาะเล็กนิดเดียว
เราสามารถแบ่งลักษณะของรูปแบบของรัฐได้เป็น 2 อย่างคือ รัฐเดี่ยวกับรัฐรวม

1.1 รัฐเดี่ยว (Unitary state)

มีรัฐบาลเพียงระดับเดียวในการใช้อำนาจอธิปไตย เช่น ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฯลฯ

1.2 รัฐรวม (Compound หรือ Composite state)

มีรัฐบาล 2 ระดับ คือรัฐบาลท้องถิ่นหรืออาจเรียกว่ารัฐบาลมลรัฐกับรัฐบาลกลาง ซึ่งรัฐบาลในทั้ง 2 ระดับมีอำนาจโดยเฉพาะตน โดยรัฐธรรมนูญในประเทศนั้นๆจะกำหนดไว้ว่ารัฐบาลในทั้ง 2 ระดับมีอำนาจในการใช้อธิปไตยครอบคลุมกิจการอะไรบ้าง โดยรัฐรวมแบ่งเป็นสมาพันธรัฐ (Confederation) และสหพันธรัฐ (Federation)

1.2.1 สมาพันธรัฐ (Confederation)

สมาพันธรัฐเกิดขึ้นโดยความร่วมมือของรัฐต่างๆ ตามสนธิสัญญา โดยรัฐสมาชิกต้องมีความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ จึงจะเกิดการดำเนินกิจกรรมของสมาพันธ์ได้ และมีสภาผู้แทนรัฐบาลของรัฐสมาชิกเป็นองค์กรทำหน้าที่ต่างๆ ในนามของรัฐสมาชิก โดยที่รัฐสมาชิกยังคงมีอิสระในการดำเนินนโยบายต่างๆ สภาผู้แทนของรัฐสมาชิกไม่ได้มีอำนาจในการควบคุมการกระทำภายในรัฐสมาชิก นอกจากนี้ แต่ละรัฐมักจะมีความร่วมมือกันในบางเรื่องเท่านั้น เช่น ด้านความมั่นคง หรือนโยบายเศรษฐกิจ เป็นต้น สมาพันธรัฐ ได้แก่ สมาพันธรัฐอเมริกาในช่วงแรกของการประกาศอิสรภาพปี 1776 แต่พอร่างรัฐธรรมนูญเสร็จปี 1787 ก็กลายมาเป็นสหพันธรัฐ ,สมาพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์ ก่อนปี 1846(ปัจจุบันยังใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าสมาพันธรัฐสวิสอยู่แม้ว่ารูปแบบจะเป็นสหพันธรัฐก็ตาม) หรือ สมาพันธรัฐเยอรมันช่วงปี 1815 - 1866 ส่วนในปัจจุบันสหภาพยุโรปก็มีลักษณะของสมาพันธรัฐ

1.2.2 สหพันธรัฐ (Federation)

สหพันธรัฐเป็นการรวมตัวของรัฐต่างๆ โดยรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างรัฐขึ้นมาใหม่ให้มีอำนาจอธิปไตยอยู่เหนือรัฐเดิมที่มารวมตัวกันนั้น โดยที่รัฐต่างๆ ที่รวมตัวกันจะสละอำนาจอธิปไตยของตนให้แก่รัฐที่สร้างขึ้นใหม่นี้ เพื่อทำหน้าที่แทนตน ตัวอย่างของระบบรัฐแบบนี้ ได้แก่ สหรัฐอเมริกานับจากปี 1787 เป็นต้นมาตราบจนปัจจุบัน ระบบสหพันธรัฐทำให้เกิดมีรัฐ 2 ระดับขึ้นภายในโครงสร้างภายในของรัฐรวมนั้นเสมอ ได้แก่ รัฐระดับบน คือ รัฐที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งมักจะเรียกกันว่ารัฐบาลกลางหรือรัฐสหพันธ์ และรัฐระดับล่างได้แก่รัฐสมาชิกต่างๆ นั่นเอง ซึ่งมักจะเรียกกันว่ามลรัฐหรือรัฐ องค์กรต่างๆ ภายใต้ระบบสหพันธรัฐจะมีโครงสร้างที่ซับซ้อน รวมทั้งการมีองค์กรที่มีชื่อเรียกเดียวกัน และมีการหน้าที่ในลักษณะเดียวกัน แบ่งออกเป็น 2 ระดับเสมอ เช่น รัฐสภา จะมีทั้งรัฐสภาในระดับสหพันธ์ และรัฐสภาในระดับรัฐ เช่นเดียวกับรัฐบาล และศาล เป็นต้น ซึ่งจะมีศาลสูงทั้งของรัฐ และศาลสูงของสหพันธรัฐดำรงอยู่คู่ขนานกัน นอกจากนั้นเรายังสามารถแบ่งรูปแบบของรัฐตามลักษณะประมุขของรัฐได้เป็นรูปแบบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งเราเรียกว่า “ราชอาณาจักร (Kingdom)” เช่น ราชอาณาจักรไทย ราชอาณาจักรกัมพูชา ฯลฯ กับรูปแบบ “สาธารณรัฐ (Republic)” ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฯลฯ หลายคนเข้าใจผิดว่ารัฐรวมจะมีกษัตริย์เป็นประมุขไม่ได้ ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะมาเลเซียในระยะเริ่มแรกก็ใช้ชื่อว่าสหพันธรัฐมาเลเซียโดยมีพระราชาธิบดีหรือกษัตริย์ซึ่งหมุนเวียนกันเป็นประมุขมาจนปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับออสเตรเลียกับแคนาดาก็ยังมีกษัตริย์ของสหราชอาณาจักรเป็นประมุขอยู่ แม้ว่าจะไม่มีบทบาทใดๆแล้วก็ตาม

2.ชาติ (Nation)

นั้นจะเน้นไปที่ความผูกพันกันในทางเชื้อชาติ (race) หรือสายเลือด เผ่าพันธุ์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา หรือการยึดหลักประเพณีร่วมกัน ด้วยเหตุนี้ชาติจึงไม่สูญสลายไปง่ายๆ ดังเช่นความเป็นรัฐ ตัวอย่างใกล้ตัวก็คือแม้ว่าจะไม่มีรัฐมอญปรากฏบนแผนที่โลก แต่ในความเป็นจริง "ชาติมอญ" ยังคงอยู่ทั้งในพม่า หรือแม้กระทั่งในประเทศไทย คำว่าชาตินี้เองมักจะเป็นต้นเหตุของปัญหา เพราะแต่ละชาติก็อยากเป็นใหญ่ แต่ละชาติก็อยากสร้างรัฐ ทำให้เกิดลัทธิชาตินิยม และในหลายๆ ครั้งนำไปสู่สงครามกลางเมือง

3.ประเทศ (Country)

ส่วนคำว่าประเทศนั้น มีความหมายเน้นหนักไปในด้านดินแดน ดังนั้นประเทศจึงเป็นแหล่งรวมของชาติ และก่อให้เกิดรัฐขึ้น ตัวอย่างความแตกต่างระหว่างรัฐกับประเทศที่เห็นชัดก็คือไต้หวัน ซึ่งเมื่อดูองค์ประกอบต่างๆ แล้วไต้หวันมีประชากร ดินแดน รัฐบาลและอำนาจอธิปไตยภายใน แต่ขาดอำนาจอธิปไตยภายนอกซึ่งก็คือ การรับรองจากรัฐอื่นและสหประชาชาติ ฉะนั้น ในทางรัฐศาสตร์แล้วไต้หวันจึงอยู่สถานะที่มิใช่เป็นรัฐแต่มีสภาพเป็นประเทศ แม้ว่าจีนจะถือว่าไต้หวันเป็นเพียงมณฑลหนึ่งของจีนเท่านั้นก็ตาม การที่ประเทศใดจะเป็นรัฐเดี่ยวหรือรัฐรวมขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศนั้นๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือเจตนารมณ์หรือฉันทามติของประชาชนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าต้องการให้ประเทศของตนเป็นรัฐแบบไหน แน่นอนว่ารัฐธรรมนูญก็คือกฎหมาย และกฎหมายคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เมื่อมนุษย์สร้างขึ้นมนุษย์ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอน่ะครับ สมาพันธ์ รัฐหลายรัฐรวมกัน โดยให้มีรัฐบาลกลาง และให้มีอำนาจหน้าที่เฉพาะกิจการบางอย่างที่รัฐสมาชิกยินยอมมอบหมายให้เท่านั้น แต่รัฐหนึ่งๆ ยังตั้งทูตประจำชาติอื่นได้สำหรับกิจเฉพาะของตน สมาพันธรัฐ (อังกฤษ: confederation) เป็นศัพท์การเมืองสมัยใหม่ หมายถึง การรวมกันของหน่วยการเมืองเป็นการถาวรเพื่อให้มีการเคลื่อนไหวร่วมกันตามหน่วยอื่น[1] สมาพันธรัฐตามปกติก่อตั้งขึ้นโดยสนธิสัญญา แต่ภายหลังมักก่อตั้งขึ้นจากการเห็นชอบรัฐธรรมนูญร่วมกัน สมาพันธรัฐมีแนวโน้มสถาปนาขึ้นเพื่อจัดการกับปัญหาร้ายแรง เช่น การป้องกัน การระหว่างประเทศหรือสกุลเงินร่วม โดยมีรัฐบาลกลางที่ถูกกำหนดให้จัดหาการสนับสนุนแก่สมาชิกทั้งหมด ธรรมชาติความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งประกอบขึ้นเป็นสมาพันธรัฐนั้นแตกต่างกันมาก เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสมาชิก รัฐบาลกลางและการกระจายอำนาจให้รัฐต่าง ๆ ก็มีแตกต่างกันเช่นกัน สมาพันธรัฐอย่างหลวมบางแห่งคล้ายคลึงกับองค์การระหว่างรัฐบาล ขณะที่สมาพันธรัฐอย่างเข้มอาจเหมือนสหพันธรัฐ




 


Read More

08 เมษายน, 2552

เกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ไต (ไทใหญ่) About Tai/Shan (Thaiyai)

ชาวฉาน ซาน หรือ ไทใหญ่ ที่เรียกตนเองว่า“ไต” (คนไตไม่เคยเรียกตนเองว่า “ซาน”) ส่วน มากอาศัยอยู่ในรัฐฉาน ในสหภาพพม่า คำว่า“ซาน” ในภาษาพม่า (หมายถึง “ไต”) นั้น ถูกสะกดเป็น คำต่างๆ ในจารึกของพุกาม(ค.ศ.1044-1334) และในจดหมายเหตุ หรือ หนังสือเก่าของพม่า ในพม่าสมัยใหม่ คนไต ถูกเรียกว่า “ซาน” เช่น เดียวกันกับคนไตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ไว้ในภูมิ ภาคต่างๆของพม่า
ชาวฉาน หรือ ซาน คือชนชาติไตเผ่าหนึ่ง ในเผ่าไท หรือไต (The Tai race) มีจดหมายเหตุทางประวัติศาตร์ ระบุไว้ว่า ดินแดนพม่าส่วนบนปัจจุบัน คือ ที่อยู่อาศัยเก่าของ พวกผิ่ว (Pyu) และฉาน (ไต) ก่อนมีการสถาปนา ของราชอาณาจักรพูกามประเทศ ขึ้น โดยพระเจ้าอหน่อระถ่า {the Pagan kingdom by Anawratha (1044-1077)} ของพม่า
ในภูมิภาคยูนนานปัจจุบัน ราชอาณาจักรเมืองมาว(Mao kingdom) ของชาวไต ดำรงอยู่นานถึง กระทั่งถูกราชวงค์หมิงของจีน ปราบปราม จากฐานที่นั้น ชาวไต ส่งการจู่โจมรุกคืบถึง พม่าส่วนบนและอัสสัมอยู่บ่อยๆ ต่อมาพวกเขามีอาณานิคมในบางส่วนของรัฐฉานทิศใต้และ ทิศเหนือ รัฐกะฉิ่น ในเขตสะกาย ของพม่าตอนบนปัจจุบัน และดินแดนทั้งหมดเหล่านี้ ถูกผนวกเป็น อาณานิคม (อยู่ภายใต้เจ้า แผ่นดินเจ้าศักดินา ) ของอาณาจักรเมืองมาว ในที่สุด ชาวไตสามารถควบคุมได้ พม่าส่วนบนทั้งหมด (all Upper Burma) ช่วงระยะเวลาฉาน ของประวัติศาสตร์พม่านั้น ดำรงอยู่ได้จาก ค.ศ.1300 จนกระทั่ง ปี ค.ศ.1540

อย่างไรก็ตามชาวไตในยูนนาน ถูกชาวจีนปราบราม ภายหลังสงครามต่อเนื่องสามครั้ง (ค.ศ.1441-1448) ความเสียหาย ครั้งสุดท้ายของประเทศไตในยูนนาน เกิดขี้นในปี1604 เมื่อถูก หน่วยทหารจีนโจมตีอย่างรวดเร็ว อาณาจักรเมืองมาว
ภายหลังการล่มสลายของราช อาณาจักรเมืองมาวในยูนนาน กำลังของชาวไตในพม่าก็อ่อนแอลง และในที่สุด ทำให้ได้แตกแยกเป็น อาณาเขตปกครอง ตนเองต่างๆ มากมาย ที่เรียกกันว่า นครรัฐ อันมีเจ้าฟ้าปกครองไว้ พัฒนาการ การเมืองและ ชีวิตความเป็นอยู่ ชาวไตในพม่า ได้ขึ้นอยู่กับ ประวัติ ศาสตร์ ทางการเมืองของพม่าอย่างมาก ผลสุดท้าย ชาวไตได้ถูกแบ่งแยกเป็นกลุ่มๆ ดังต่อไปนี้

1. ไตคำตี่ (the Khamti Shan) ชาวไต ที่อาศัยอยู่ในแคว้น คำตี่ ของเขตสะกาย (Sagaing Division) ของพม่าตอนบน (Upper Burma)

2. ไตมาว (the Mao Shan) ชาวไต ที่อาศัยอยู่ในหุบเขา และลุ่มแม่น้ำมาว (the Mao River valley)

3. ไตขึน หรือไตเขิน (the Gum (Hkun) Shan) ชาวไตที่ อาศัยอยู่ในมณฑลเชียงตุง ในรัฐฉานตะวัน ออก

ชาวไตนั้นอาศัยอยู่แพร่กระจายทั่วพม่า เช่นในรัฐฉาน (Shan state) รัฐกะฉิ่น (Kachin state) และเขตสะกาย (Sagaing division) รัฐและเขตต่างๆ ในพม่า ถูกกำหนดขึ้นระหว่างช่วงระยะเวลาการปกครองสหราชอาณาจักร (the British administration period 1885-1948)
ในช่วงเวลา ของกษัติย์พม่านั้น อาณาเขตของชาวไต ถูกตั้งชื่อ เรียกต่างๆนาๆ อย่างเช่น เซ็นไต "Saint Taing," ก่ำปอซ่าไต "Kambawza Taing," หาริปุนซ่าไต"Haripunza Taing," เข่หม่าวะระไต "Khemawara Taing," เป็นต้น
ในช่วงระยะเวลาอยู่ใต้อาณานิคมของอังกฤษ(1885-1948) พม่าถูกปรับปรุงจัดใหม่เป็น ระบบ รัฐ (states ) เขต (divisions) และ ผืนดินเนินเขา (hill tracts) รัฐฉานปัจจุบันถูกกำหนดขึ้น ระหว่างช่วงระยะเวลาอาณานิคมอังกฤษ และกลาย เป็น “สหพันธรัฐฉาน” (Federated Shan States) ในปี ค.ศ.1922 ส่วนที่เหลือ ของ อาณาบริเวณชาวไตในพม่า ถูกผนวกเข้าในเขตสะกาย(Sagaing Division) มิตรจีนา (Myitkyina) บะโหม่ (Bhamo) หรือ ม่านหม่อ หรือบ้านบ่อ และ แคว้น ปู่ต่าโอ่(Putao) หรือ ปู่เฒ่า หรือ ผู้เฒ่า ผลพวงทำให้ “รัฐไตภาคตะวันตกแม่น้ำอิระวดี” จึงได้หายไปจากประวัติศาสตร์ของคนไต
ด้วยอุปสรรคทางเชิงภูมิศาสตร์ ความยากลำบากในการสื่อสารหรือ การคมนาคม และระบบของการเมืองการปกครอง ตั้งแต่ตอนสมัยกษัติย์พม่า ได้แบ่งแยกชาว ไตออกจากกันและกัน จึงเกิดผลให้แต่ละกลุ่ม มีพัฒนาการ ตามแนวทาง วัฒนธรรมและ จารีตประเพณี ของตนเอง เรื่อยมา
ดังนั้น ชาวไตเหล่าที่ตั้งถิ่นฐานในภูมิภาค คำตี่ จึง ถูกเรียกว่า “ไตคำตี่ (Khamti Shan)” เหล่าที่ตั้งถิ่นฐาน ในหุบเขาแม่น้ำมาว จึงถูกเรียกว่า “ไตมาว (Mao Shan)” และชาวไตเหล่าในรัฐฉานตะวันออกก็เรียก “ไตเขิน หรือไตขึน (Hkuns)” เป็นต้น

ที่มา: ประวัติศาสตร์และพัฒนาการของตัวอักษรไต, 2004 จายคำเมือง
Sources: The History and Development of the Shan Script, 2004, Sai Kam Mong
Read More

06 เมษายน, 2552

รู้จักกับไทใหญ่ Intorducing Thai Yai (Tai)

ไทใหญ่ (ไทใหญ่ จะเรียกตัวเองว่า “ไต”) เป็นสาขาหนึ่งของกลุ่มชาติพนธ์ตระกุลไต หรือไท
คนที่พูดภาษาตระกูลไต(Tai language)หรือไท มิใช่มีเฉพาะประเทศไทย แต่มีกระจายอยู่ทั่วไปในเอเซียอาคเนย์ โดยมีอยู่ในสิบสองปันนา (Xishuangbanna)ของจีน ในรัฐอัสสัม(Assam)ของอินเดีย ในรัฐฉาน(Shan State) ในพม่า ในไทย( Thailand) ในลาว(Lao) และเวียดนาม (Vietnam) ด้วยเหตุที่คนที่พูดภาษาตระกูลไต หรือไทเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนมาก และอยู่ในที่ต่างกันห่างไกลกันอย่างนี้ ทำให้ภาษาพูด ภาษาเขียนผิดเพี้ยนแตกต่างกันไปบ้างตามกาลเวลา และท้องถิ่นนั้น ๆ

ลักษณะการอยู่อาศัยของชนชาติตระกูลไต หรือไทมักอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ และนำเอาชื่อท้องถิ่นที่อาศัยอยู่มาใช้ต่อท้ายคำว่า "ไต หรือไท" เช่น
ไตอาหม (อยู่รัฐอัสสัม) Tai Ahom people
ไตคำตี่(อยู่ในภาคเหนือของประเทศพม่า และในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย) Tai Khamti
ไตผาแก หรือ พ่าแก (อยู่ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย) Tai Phakae
ไตอ่ายทอน (อยู่ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย) Tai Ai-Ton
ไตมาว (อยู่เมืองมาว) Tai Mao
ไตใต้คง (อยู่ฟากใต้แม่น้ำคง) Tai Dehong or Taikhong
ไตเหนือคง (อยู่ฟากเหนือแม่น้ำคง หรือสาละวิน -Salween river) Tai Nue Khong
ไตใหญ่ (กลุ่มใหญ่ที่สุด) Tai Yai or Shan
ไตน้อย (ไทย) Tai noi or Thai
ไตโยน (อยู่ในแคว้นโยนก) Tai Yon or Kon Muang
ไตเขิน หรือไตขึน Tai Khuen
ไตดำ หรือ ไตหลำ Tai Dam or Black Tai
ไตขาว Tai Khao or White Tai
ไตแดง หรือ ไตแหลง Tai Daeng or Red Tai
ฯลฯ
ชนตระกูลไตเหล่านี้ แต่ละกลุ่มที่พูดสำเนียงเดียวกันจะอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่เป็นภูมิภาค หรือเป็นรัฐ แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันมาก ต่างก็เข้าใจว่า ภาษาที่ชนกลุ่มของตนพูดเป็นภาษาไต หรือภาษาไทแท้ ในส่วนศัพท์รากเหง้าของภาษานั้นเป็นคำเดียวกันและใช้พูดเหมือนกัน ก็เช่น
ข้าว กิน แขน ขา เข่า หัว ตัว ไป มา พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย หรือช้าง ม้า วัว ควาย หมู หมา กา ไก่ เป็ด ฯลฯ
คำศัพท์เหล่านี้เป็นคำไต หรือไทแท้ ไตทุกกลุ่มจึงใช้ศัพท์เดียวกันนี้พูดและสื่อสารต่อกัน

ไทใหญ่เป็นสาขาหนึ่งของกลุ่มชาติพนธ์ตระกุลไต (Tai language) อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของจีน รัฐอัสสัมของอินเดีย พม่าทางตอนเหนือ รัฐฉาน และทางภาคเหนือของไทย มีภาษาพูดและภาษาเขียนเฉพาะตน มีเอกลักษณ์การแต่งกายที่สวยงาม ประเพณีวัฒนธรรมส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนา กิจกรรมอันเนื่องด้วยประเพณีส่วนใหญ่จึงเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา มีจิตใจอ่อนโยนเพราะอาศัยกระบวนการขัดเกลาทางศาสนาและสังคม จึงดูเหมือนว่าถูกเอารัดเปรียบได้ง่าย
Read More

04 เมษายน, 2552

ความหมายของคำว่า “คนไท” และ “คนไทย” Define Tai and Thai People

  • “ไท(Tai)” หรือ "ไต" มีความหมายกว้างกว่า คำว่า “ไทย(Thai)” 
 ไท หมายถึง ไต ในสำเนียงชนชาติไต
“คนไท หรือ คนไต)” คือ บุคคลซึ่งพูดภาษาตระกูลไท (Tai Language) ไม่ว่า ไทลื้อ ไทใหญ่ ไทน้อย ไทเขิน ไทคำตี่ ไทอัสสัม ไทแดง ไทขาว ไทใต้คงหรือไทเหนือ เป็นคนไท หรือ คนไต ทั้งสิ้น ซึ่งกระจายตัวอยู่ เป็นวงกว้างในเอเชีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ บุคคลเหล่านี้ มีขนบธรรมเนียมประเพณีของชนชาติไท ซึ่งอาจจะแตกต่างกันได้ เป็นไปตามเผ่าแต่ละเผ่า
  • “คนไทย”(Thai) คือ (คนไทยในประเทศไทย) มีสัญชาติไทย และรวมถึงคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศต่าง ๆ ด้วย บุคคลซึ่งมีเชื้อชาติไทย พูดภาษาตระกูลไทย มีขนบธรรมเนียมประเพณีของคนเชื้อชาติไทย
บุคคลเหล่านี้ แม้ว่าอยู่ในประเทศไทย การใช้ภาษาและ ขนบธรรมเนียมประดพณี อาจจะแตกต่างกันได้ เป็นไป ตามเผ่าแต่ละเผ่า
สรูป คือ 
  • “คนไท” หรือ “คนไต” หมายถึง บุคคลซึ่งพูดภาษาตระกูลไท (Tai Language) ทั้งหมด 
  • คนไทย” คือ คนไทยในประเทศไทย และต่างประเทศ ที่มีสัญชาติไทย และอาจรวมถึงที่คนไทยที่ไม่มีสัญชาติไทยด้วย
Read More

01 เมษายน, 2552

ภาษาไทยและเผ่า(เครือ)ไตมีภาษาในการพูดเหมือนกัน 50% Thai & Tai words similar 50%

ภาษาไทยภาษาไต
พ่อแม่ ป้อแม่ (Parent)
กิน กิ๋น (Eat)
นอนนอน (Sleep)
ข้าหรือข้าพเจ้า ข้า,ข้าเฮา(เรียกตัวเอง) (I)
ข้าเฮาเขา (เป็นพหูพจน์) หมายถึงพวกเรา (We)
ท่านเจ้า (ใช้เรียกคู่สนทนาแบบให้เกียรติ) (You)
เจ้าเขา, สูเขา (เป็นพหูพจน์) หมายถึงพวกท่าน (You)
กูเก๋า (ข้าพเจ้า กู หรือ ฉัน) (I)
มึงใม(มา-อึ) (สำเนียงไม่มีในภาษาไทย) ท่าน, มึง (You)
กินข้าว กิ๋นเข้า (รับประทานข้าว) (Have a meal/rice)
หัวใจ หัวใจ๋ หรือ โหใจ๋ (Heart)
นานา (นา หรือทุ่งนา) (Field)
ไร่ ไฮ่ หรือไห้ (ไร่ หรือท้องไร่) (Farm)
วัว,ควายโว,กวาย (Cattle)
ช้าง, ม้า จ้าง, ม่า (Elephant, Horse)
หนึ่งหนึ้ง (One)
สองสอง (Two)
สามสาม (Three)
สี่สี่ (Four)
ห้าห้า (Five)
หกฮก (Six)
เจ็ดเจ๊ด (Seven)
แปดแปด (Eight)
เก้าเก้า (Nine)
สิบซีบ (Ten)
Read More

29 มีนาคม, 2552

ทำไม ไทใหญ่จึงเรียกตัวเองว่า "ไต" Why Thai Yai call themselves "Tai"

คำว่า "ไต" นั้นก็คือคำว่า "ไท" นั้นเอง เพราะการออกเสียงสำเนียงในดินแดนทางตอนเหนือ หรือภาคเหนือ หรือไทยล้านนาของประเทศไทย และภาษาไต (ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใดก็ตาม) นั้นจะนิยมออกสำเนียงต่างกันไปกับ ภาษาไทยกลางปัจจุบัน กล่าวคือตามหลักภาษาศาสตร์นั้น ถ้าภาคกลางออกเสียงพยัญชนะหลักที่ 3 ภาคเหนือ หรือคนไตจะนำมาออกเสียงเป็นพยัญชนะ หลักที่ 1 ของวรรคนั้นๆ กล่าวคือ
  • ถ้าภาคกลางออกเสียง ค.ควาย แต่ไทยตอนเหนือ หรือ ไทยล้านนา หรือไต จะออกเสียงสำเนียงเป็น ก.ไก่ เช่น เค้าไม้ เป็น เก้าไม้, คิด เป็น กึด เป็นต้น
  • ถ้าภาคกลางออกเสียง ช.ช้าง แต่ไทยตอนเหนือ หรือ ไทยล้านนา หรือไต จะออกเสียงสำเนียงเป็น จ.จาน เช่น ช้าง เป็น จ้าง, เชื้อชาติ เป็น เจื้อจ้าด เป็นต้น
  • ถ้าภาคกลางออกเสียง ท.ทหาร แต่ไทยตอนเหนือ หรือ ไทยล้านนา หรือไต จะออกเสียงสำเนียงเป็น ต.เต่า เช่น เทวทัด เป็น เตวตัด, เทียน เป็น เตียน, ทาง เป็น ตาง หรือ ไท เป็น ไต เป็นต้น
  • ถ้าภาคกลางออกเสียง พ.พาน แต่ไทยตอนเหนือ หรือ ไทยล้านนา หรือไต จะออกเสียงสำเนียงเป็น ป.ปลา เช่น พ่อแม่ เป็น ป้อแม่, พี่น้อง เป็น ปี้น้อง เป็นต้น
ฉะนั้นตามหลักภาษาศาตร์ ไทยตอนเหนือ หรือ ไทยล้านนา หรือไต จะนิยมสำเนียง ท.ทหาร ออกเสียงเป็น ต.เต่า ดั่งนั้นภาคกลางเรียกตนเองว่า "ไทย" ภาษาภาคเหนือ หรือไทยตอนเหนือ หรือไต ก็จะออกเสียงในการเรียกตนเองเป็น "ไต" นั้นเอง เพราะฉะนั้น คำว่า "ไต" ก็คือกลุ่ใคนที่เรียดตนเองว่า "ไทย" นั่นเอง

การออกเสียง คำว่า ไท(ไทย) เป็น ไต ตามหลักภาษาศาสตร์
คนไต หรือไทใหญ่ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ที่มีศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนภาษาและสำเนียงการพูด ที่คล้ายคลึง หรือใกล้เคียงกันกับ ไทยภาคเหนือล้านนา หรืออีสานมาก เพราะตามหลักภาษาไทยตอนเหนือนิยมแตกต่างจากภาคกลาง จึงสามารถแบ่งสำเนียงนิยม, หรือหลักภาษานิยม หรือการกลายเสียงตามภาษาศาสตร์ ซึ่งมีการกลายเสียง 3 อย่าง คือ –
  1. การกลายเสียงของพยีญชนะ
  2. การกลายเสียงของสระ
  3. การกลายเสียงของวรรณยุกต์
  1. การกลายเสียงของพยัญชนะ
ภาษาพูดไทยตอนเหนือ หรือ ไทยล้านนา หรือไตนั้น มีหลักการออกเสียง และกลายเสียงของพยัญชนะไว้ดังนี้ –
  1. 1. กลายเสียงของพยัญชนะ
การจัดวรรคหมวดหมู่ในพยัญชนะนั้น จัดได้ตามวรรคคือ

การออกเสียงเป็นวรรค

หลักที่ 1

หลักที่ 2

หลักที่ 3

หลักที่ 4

หลักที่ 5

วรรค กะ

วรรค จะ

วรรค ตะ

วรรค ปะ


ตามตารางการออกเสียง ถ้าไทยภาคกลางใช้หลักที่ 3 ของแต่ละวรรค ไทยล่านนาและไตนั้น จะนิยมนำมาออกเสียงสำเนียงการพูดมาเป็นหลักที่ 1 ดังนี้ –
เป็น เช่น เค้าไม้ เป็น เก้าไม้, คิดเป็นกึด, ควายเป็นกวาย
" เช่น ช้าง เป็น จ้าง, เชื้อชาติ เป็น เจื้อจ้าด
" เช่น เทวทัด เป็น เตวตัด, ทาง เป็น ตาง.แท้ๆ เป็น แต้ๆ ไท เป็น ไต
" เช่น พ่อแม่พี่น้อง เป็น ป้อแม่ปี้น้อง. แพะ เป็น แปะ, พัน เป็น ปัน

ฉะนั้น ดังตารางหลักภาษาศาสตร์ เมื่อไทยตอนเหนือหรือไต นิยมภาษา ใช้หลักที่ 3 มาเป็นหลักที่ 1 ของไทยภาคกลาง กล่าวคื นิยม ท.ทหาร มาเป็น ต.เต่า ในสรรค ตะ แล้ว เช่นคำว่า เทียน ก็เป็นเตียน, คำว่า ท่าน้ำ เป็น ต้าน้ำ ฉะนั้นคำว่า ไทยนั้น เมื่อไทยตอนเหนือหรือไต จะเรียกตัวเองว่า "ไท" จึงออกสำเนียงเป็น "ไต" นั้นเอง
1.1 ภาษาไทยล้านนาและไตออกเสียง ร.เรีอ เป็น ฮ.นกฮูก เช่น รัก เป็น ฮัก. เรีอ เป็น เฮือ,
เชียงราย เป็น เจียงฮาย เป็นต้น
1.2 ภาษาไทยล้านนาและไต จะไม่ออกเสียงควบ และ ถ้าพยัญชนะไทยกลางออดควบ ล เช่น ปลา ก็ไม่ออกเสียง ล.ลิง จะออก เป็น ป๋า เท่านั้น
1.3 ภาษาไต ออกเสียง ด.เด็ก เป็น ล.ลิง เช่น ดอย จะเป็น หลอย, ดาว จะเป็น หลาว

2. การออกเสียง สระ
2.1 ภาษาไต ออกเสียงเปิดปากปานกลาง เช่น ออกเสียง เอีย เป็น เอ, เมีย เป็น เม, และเสียง เอือ ก็จะเป็น เออ, เช่น เมือง เป็น เมิง, สระอัว (อู+อา) เป็น โอ เช่น วัว เป็น โว
2.2 ภาษาไตเปิดปากกว้างแล้วหุบปากให้แคบ สระ (อา+อึ) เป็น ใอ หรือ ไม้ม้วน (-ใ) เช่น ใจ จะออกเสียง เป็น ใจ๋(จะ+อึ), ไหญ่ เป็น ใหญ่(ญะอึ) สำเนียงนี้ไทยกลางไม่มี จึงออกเสียงได้ลำบาก
3. การกลายเสียงวรรณยุกต์
3.1 วรรณยุกต์ในภาษาไทยล้านนาและไตนั้น เสียงสามัญ และไม้เอก จะเป็นเสียงจัตวา เช่น แบ่งปัน เป็น แบ่งปั๋น
3.2 เสียงสามัญ
เสียงสามัญ หรือเสียงปกติของไทยภาคกลางนั้น ถ้าเป็นภาษาไต หรือ ไทนล้านนา จะออกเสียงสามัญ หรือปกตอ เป็น เสียง "จัตวา"
ไทยภาคกลาง ไทยล้านนาหรือไต
กิน (เสียงสามัญ) เป็น กิ๋น (เสียงสามัญของไตและล้านนา)
หัวใจ (เสียงสามัญ) เป็น หัวใจ๋ (โหใจ๋ ) (เสียงสามัญของไตและล้านนา)

ภาษาไต คำที่ใช้เรียกสัปดาห์
วันอาทิตย์ เรียกว่า วันอาติตย์
วันจันทร์ เป็น วันจั๋น
วันอังคาร เป็น วันอังกาน
วันพุธ เป็น วันปุต
วันพฤหัสบดี เป็น วันพัต
วันศักร์ เป็น วันศุกร์(วันซูก)

เปรียบเทียบภาษาไทย กับภาษาไต คำที่ใช้เรียกเดือน

ภาษาไทย

ภาษาไต

เดือนอ้าย

เหลินเจี๋ยง

เดือนยี่

เหลินก๋ำ

เดือนสาม

เหลินสาม

เดือนสี่

เหลินสี่

เดือนห้า

เหลินห้า

เดือนหก

เหลินฮก

เดือนเจ็ด

เหลินเจ็ด

เดือนแปด

เหลินแปด

เดือนเก้า

เหลินเก้า

เดือนสิบ

เหลินสิบ(ซีบ)

เดือนสิบเอ็ด

เหลินสิบเอ็ด (ซีบเอ๊ด)

เดือนสิบสอง

เหลินสิบสอง(ซีบสอง)

Read More

Social Profiles

Twitter Facebook Google Plus LinkedIn RSS Feed Email Pinterest

Ads

Ads code

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ภาษาศาสตร์,ประวัติศาสตร์,การเมือง,ปรัชญา,การศึกษา,ดนตรี,ธุรกิจเครือข่าย MLM, Politics, Education, History, Philosophy, Music

Beloved Community

BTemplates.com

Blogroll

Cheap Web Hosting

affiliate_link

Copyright © Infomation about Tai People ข้อมูลเกี่ยวกับชนชาติไต | Powered by Blogger
Design by Lizard Themes | Blogger Theme by Lasantha - PremiumBloggerTemplates.com